นพ.ดร. ปิยวุฒิ เจิมศิริวัฒน์, D.C. (Honors), J.D., M.Sc. (Clinical Neuroscience), B.Sc., B.A.

แพทย์แผนไคโรแพรคทิค (Chiropractic) เป็นวิธีการรักษาที่เน้นการแก้ไขความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของกระดูกและข้อต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น ปวดหลัง,ปวดบ่าและปวดคอ หรือปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจากกระดูกสันหลังหรือข้อต่อไม่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ซึ่งอาจจากการเคลื่อนไหวของร่างกายที่ไม่ถูกต้อง  การรักษาแพทย์แผนไคโรแพรคทิค สามารถช่วยบรรเทาอาการและเสริมสร้างสุขภาพได้.

การรักษาแพทย์แผนไคโรแพรคทิค (Chiropractic) มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการพัฒนาในด้านการดูแลสุขภาพที่ไม่ใช้ยาและการผ่าตัด โดยมีรากฐานมาจากแนวคิดที่มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างกระดูกสันหลังและสุขภาพโดยรวมของร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาท.

การรักษาแบบไคโรแพรคทิค เริ่มต้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดย Daniel David Palmer (D.D. Palmer)  นักพยาธิวิทยาชาวแคนาดา ที่ได้ทำการค้นพบและพัฒนาแนวทางการรักษานี้ในปี 1895 ซึ่ง ง Palmer ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ก่อตั้งศาสตร์แพทย์แผนไคโรแพรคทิค.

ในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1895  D.D. Palmer ได้รักษาคนไข้คนแรกของเขา คือ Harvey Lillard ชายที่มีอาการหูอื้อและ การได้ยินลดลง ซึ่ง Palmer พบว่า Lillard มีปัญหาที่กระดูกสันหลังส่วนคอ และเมื่อทำการรักษาด้วยวิธีการจัดกระดูกสันหลัง มีผลทำให้อาการได้ยินและอาการหูอื้อหายไป Palmer เชื่อว่าอาการเหล่านี้เกิดจากการที่กระดูกสันหลังไม่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทการได้ยินทำงานได้อย่างปกติ เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้ Palmer พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการจัดกระดูกและการรักษาโดยการปรับกระดูกสันหลังเพื่อช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพโดยไม่ต้องใช้ยา.

หลังจากการค้นพบของ D.D. Palmer ไคโรแพรคทิคเริ่มได้รับความสนใจและเริ่มมีการสอนในโรงเรียนต่างๆ โดยในปี 1897 Palmer ได้ก่อตั้ง Palmer School of Chiropractic ที่เมือง Davenport, Iowa ซึ่งกลายเป็นโรงเรียนการศึกษาด้านไคโรแพรคทิคแห่งแรกของโลก   การรักษาไคโรแพรคทิคได้รับการยอมรับและแพร่หลายมากขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แม้ว่าในระยะแรกจะเผชิญกับความท้าทายจากการต่อต้านจากแพทย์แผนปัจจุบันและการถูกมองว่าเป็นการรักษาที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ด้วยความสำเร็จในการรักษาและการสนับสนุนจากผู้ป่วย ทำให้วิธีการนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น

ในช่วงทศวรรษ 1930s และ 1940s การแพร่หลายของแพทย์แผนไคโรแพรคทิคเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในหลายๆรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับการรับรองจากรัฐบาลให้การรักษาแพทย์แผนไคโรแพรคทิคถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้นการพัฒนาในด้านการศึกษาด้านไคโรแพรคทิคจึงมีความสำคัญมากในช่วงเวลาต่อมา โดยมีการสร้างหลักสูตรที่เข้มข้นและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระดูกและการรักษาด้วยแผนไคโรแพรคทิค  ซึ่งในปัจจุบันมีการรับรองการศึกษาด้านนี้ในหลายประเทศทั่วโลก

ในปัจจุบัน แพทย์แผนไคโรแพรคทิคได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ    โดยมีการวิจัยและศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนประสิทธิภาพของการรักษาในหลายกรณี เช่น การรักษาอาการปวดหลัง ปวดคอ และความผิดปกติของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง   นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาวิธีการรักษาไคโรแพรคทิคในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการจัดกระดูก การนวดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ   การเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระดูกและข้อต่อ

การรักษาด้วยแพทย์แผนไคโรแพรคทิค มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่ของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาเกี่ยวกับการปรับกระดูกสันหลังและการฟื้นฟูระบบประสาท การรักษาด้วยวิธีนี้คาดว่าจะได้รับการยอมรับมากขึ้น ในวงการแพทย์ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ และยังคงเป็นทางเลือกที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการการรักษาโดยไม่ใช้ยาและไม่ต้องมีการผ่าตัด.

ปรัชญาของการรักษาไคโรแพรคทิคเน้นไปที่หลักการที่ว่า ระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อกระดูกนั้นเชื่อมโยงกัน และมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพโดยรวม การเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมของกระดูกหรือข้อต่อจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาท ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อาการปวด หรือความผิดปกติในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย  การรักษาไคโรแพรคทิคจึงมุ่งหวังในการปรับตำแหน่งของกระดูกและข้อต่อ เพื่อช่วยปรับสมดุลและฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท

การรักษาด้วยวิธีไคโรแพรคทิค  มีการใช้เทคนิคที่หลากหลาย เพื่อปรับและจัดตำแหน่งกระดูกและข้อต่อให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยไม่ใช้การผ่าตัดหรือการใช้ยา ตัวอย่างของวิธีการที่ใช้ในไคโรแพรคทิคมีดังนี้:

  1. การจัดกระดูกสันหลัง (Spinal Adjustment): เป็นการใช้แรงในการปรับกระดูกสันหลังหรือข้อต่อที่ผิดปกติให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง วิธีการนี้สามารถช่วยลดอาการปวด ทั้งยังส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
  2. การปรับข้อต่อ (Joint Manipulation): เป็นการปรับการเคลื่อนไหวของข้อต่อของร่างกาย เพื่อลดอาการปวด
  3. การนวด (Soft Tissue Therapy): เป็นวิธีที่ช่วยให้เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อและเอ็น ผ่อนคลายและลดความตึงได้
  4. การออกกำลังกายและการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Rehabilitation Exercises): เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม

การรักษาแบบไคโรแพรคทิค มีความเชื่อมโยงกับการฟื้นฟูสุขภาพที่ไม่ใช่แค่การรักษาอาการในระยะสั้น แต่ยังเป็นการพัฒนาการทำงานของร่างกายในระยะยาว โดยสามารถช่วยลดอาการต่างๆ เช่น   อาการปวดหลังและปวดคอ  ปัญหาความตึงของกล้ามเนื้อ ปัญหาการเคลื่อนไหวที่จำกัด ความผิดปกติของระบบประสาท  อาการออฟฟิศซินโดรม และปัญหาการนอนหลับ  เป็นต้น

โดยทั่วไปแล้วการรักษาด้วยไคโรแพรคทิคถือเป็นทางเลือกที่ไม่ใช้ยาและไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยการปรับสมดุลของร่างกายและระบบประสาท

แม้ว่าการรักษาด้วยไคโรแพรคทิคจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในบางประเทศ แต่ก็มีบางกรณีที่อาจไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยบางราย  โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังหรือระบบประสาทที่รุนแรง เช่น กระดูกหัก โรคมะเร็งที่กระทบกระเทือนกระดูกสันหลัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการวินิจฉัยและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการรักษา